วันที่ 19 มีนาคม 1998 ฉันเกิดที่โรงพยาบาลในเมืองคาโกชิม่า ดอกซากุระควรจะบานไปแล้วเพราะเป็นช่วงต้น แต่ในปีนี้ดอกซากุระกลับบานช้า และสุดท้ายก็บานจริงๆตอนวันที่ 28 มีนาคม ฉันได้รับชื่อนี้มาจากคุณพ่อคุณแม่ และ ‘ซากุระ’ ก็เบ่งบานเป็นครั้งแรก
แม้ว่าชื่อของฉันจะได้รับมาเพราะตรงกับฤดูของซากุระ แต่จังหวัดคาโกชิม่าเองก็มีภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่าซากุระจิมะ คำว่าซากุระสามารถเห็นได้ทุกที่ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน จากชื่อของร้านค้าหรือชื่อของสินค้า แม้กระทั่งชื่อของโรงเรียนและโรงพยาบาล แต่สิ่งที่สร้างความประทับใจที่สุดจนถึงตอนนี้ คือชื่อของชินคันเซ็นคันใหม่ล่าสุดของคิวจูนั้น ชื่อ ‘ซากุระ’ ได้รับการโหวตสูงสุด ตอนได้ยินประกาศข่าวนี้ ฉันในตอนประถมนั้นเข้าใจผิดคิดว่า “รุ่นของฉันได้มาถึงแล้ว!” ฉันภูมิใจมากที่ชื่อของฉันได้ยินไปทุกที่
ตอนยังเด็กคุณพ่อคุณแม่ของฉันยุ่งมาก ฉันเลยถูกเลี้ยงโดยคุณยายอยู่เสมอ คุณยายที่มีวันเกิดที่ 19 มีนาคม เหมือนกันกับฉัน ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นที่รักของเธอมาก เธอทำอาหารให้ฉัน ส่งฉันไปโรงเรียนอนุบาล และอื่นๆมากมาย เธอทำทุกอย่างให้ฉัน
ตอนฉันอยู่อนุบาล ฉันชอบเรียกร้องความสนใจจากผู้คน ฉันชอบชวนคนมาเล่นเกมคอสเพลย์เซย์เลอร์มูน จริงๆแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ทำคอสเพลย์ แต่ฉันเล่นเป็นเซย์เลอร์มูนคนเดียวฉายเดี่ยวเลย ฉันเรียนบัลเล่ต์ตั้งแต่ 2 ขวบครึ่ง ฉันคิดว่าเป็นเพราะแรงผลักดันของนิสัยชอบเรียกร้องความสนใจของฉัน ฉันเลยมักจะเต้นอยู่หน้าผู้คนเสมอ จริงๆนิสัยของฉันก็เหมือนกันกับตอนนี้เลยล่ะ
ที่คาโกชิม่าเราจะรวมตัวกันกับญาติๆที่บ้านของคุณทวดในฤดูร้อน หรือ ฤดูหนาว บ้านของทวดล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ เราเจอหมูป่า 2 ตัว ไปจับด้วงเขี้ยวกางกับคุณปู่ สร้างฝายด้วยหินที่แม่น้ำกับญาติๆ สร้างบ่อน้ำธรรมชาติเพื่อเล่น ฉันแสดงนิสัยเรียกร้องความสนใจที่นี้อีกครั้ง...ฉันเปิดหน้าต่างที่ระเบียง ใช้เสียงที่ดังมากๆจนสามารถไปถึงภูเขาฝั่งตรงข้าม และฉันก็ตะโกนออกมาว่า
“ทุกคน ! ฉัน มิยาวากิ ซากุระ เพื่อสร้างประเทศญี่ปุ่นที่ดีกว่าเดิมและเพื่อเพิ่มเงินปีใหม่สำหรับเด็กๆ มาทำงานให้หนักยิ่งขึ้นกันเถอะ!”
ฉันอาจจะเลียนแบบมาจากสปีชที่ได้ยินมาจากรถหาเสียงเลือกตั้ง พอคิดกลับมาตอนนี้ ฉันที่เริ่มสปีชในการเลือกตั้งของ AKB48 ก็อดที่จะขำไม่ได้ ในโฟโต้บุคนี้ก็มีถ่ายสถานที่ที่เดียวกันกับที่ฉันพูดสปีช ไปดูกันด้วยนะคะ ว่าอยู่ที่หน้าไหนบ้าง
หลังจากนั้นนิสัยของฉันก็เปลี่ยนไปเมื่อเข้าโรงเรียนประถม ฉันกลายเป็นเด็กขี้แงโดยสิ้นเชิง กลายเป็นคนขี้อายและเก็บตัวจนถึงจุดที่ฉันไม่สามารถทักทายคนอื่นๆได้ เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนอยู่โรงเรียนประถม ฉันมีความทรงจำว่าฉันเคยร้องไห้เพราะถูกเด็กผู้ชายล้อ
ครั้งแรกที่ฉันร้องไห้หนักตอนอยู่ที่โรงเรียน คือ ตอนที่ฉันฝึกเขียนตัวเลข เนื่องจากฉันไม่สามารถเขียนตัวเลข 8 ได้อย่างถูกต้อง เด็กผู้ชายที่อยู่ข้างๆฉัน เห็นฉันเขียนวงกลม 2 อันในแนวตั้ง แทนเลข 8 เลยพูดกับฉันว่า “นั่นไม่ใช่นะ” เพราะประโยคนั้นประโยคเดียว ฉันต่อมน้ำตาแตกร้องไห้ทันทีตอนเลิกเรียน แต่เหตุการณ์ที่ทำฉันน้ำตาแตกจริงๆตอนอยู่โรงเรียนประถม คือตอนที่ฉันตระหนักได้ว่าฉันอ่อนกีฬา..เมื่อเด็กๆรอบตัวฉันยืนอยู่บนไม้ต่อขาได้และขี่จักรยานได้ แต่ฉันไม่แม้แต่ขี่จักรยานได้ เล่น hopscotch (ตั้งเต) ไม่ได้
ถ้าต้องพูดทักษะกีฬาฉันแย่แค่ไหน ย้อนกลับไปพ่อกับแม่ฉันมักพูดเสมอว่า ถ้าได้ 100 คะแนน จะให้บัตรห้องสมุดนะ แต่พอถึงวันแข่งกีฬา พวกเขาจะพูดว่า "ถ้าไม่ได้ที่โหล่ จะให้ Nitendo DS นะ" ระดับของความยากถูกตั้งให้ต่ำสุดๆไปเลย อาจเป็นเพราะความมั่นใจในตัวเองเกี่ยวกับกีฬาของฉันต่ำ ฉันเลยเป็นเด็กขี้อายและขี้แงค่ะ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตอนที่ถ่ายภาพนอกสถานที่ ที่ซากุระจิมะ ฉันนึกถึงตอนที่เข้าร่วมวันแข่งกีฬาและการแข่งขันวิ่งมาราธอน ช่วงวันก่อนที่จะแข่งมาราธอนสำหรับป.5 ฉันมีความทรงจำเกี่ยวกับการวางแผนการแข่งขันด้วยกันกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ
“ลูกอยู่ที่สุดท้ายตลอดเลย สำหรับปีนี้แค่วิ่งด้วยพลังทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อเพิ่มระยะห่างนะ” ตามแผนการ ฉันวิ่งด้วยพลังทั้งหมดของฉันตั้งแต่ต้น เราต้องวิ่งในลู่ 2 รอบ และวิ่งในทางข้างนอก จากนั้นก็กลับมาที่ลู่...มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่เพราะฉันวิ่งด้วยทั้งหมดที่ฉันมีตั้งแต่ต้น ฉันเจ็บหน้าท้องมากหลังจากรอบที่หนึ่ง ฉันหายใจไม่ออกในรอบที่ 2 พอตอนออกจากลู่ฉันไม่สามารถก้าวขาได้อีกแล้ว ฉันจึงได้ถอนตัวออกจากมาราธอน ผลที่ฉันไม่ได้แม้แต่ที่โหล่ยังคงถูกเอามาพูดขึ้นในครอบครัวของฉัน ซึ่งทำให้ขำจนถึงทุกวันนี้
คุณพ่อคุณแม่ของฉันใส่ใจในการศึกษา ฉันได้เรียนบัลเล่ต์ เปียโน ว่ายน้ำ ภาษาอังกฤษและหลายๆอย่างตั้งแต่เด็กๆ ฉันมีความสุขมากจริงๆ แต่ฉันก็เกลียดความจริงที่ว่าฉันไม่ได้เล่นกับเพื่อนเลยหลังจากเลิกเรียน..ฉันเลยทะเลาะกับคุณยายซึ่งเป็นคนส่งฉันไปเรียนอยู่ตลอด โดยเฉพาะช่วงปีแรกๆของประถมฉันรู้สึกเป็นพิเศษว่า “เพราะคุณยาย ฉันเลยต้องมาเรียนแบบนี้!” ฉันร้องไห้หนักมาก พร้อมทั้งตะโกนว่า “คุณยายใจร้าย” ฉันไม่อยากที่จะเข้าไปในห้องเรียน คุณยายของฉันไม่รู้จะทำยังไง เธอเลยร้องไห้กับฉัน
หลังจากนั้น ฉันก็จากคาโกชิม่าเพราะกิจกรรมของ HKT48 ในช่วงเลือกตั้งเซ็มบัตสึ คุณยายผู้อ่อนโยนของฉันยังคงไปที่ศาลทุกเช้าเพื่อสวดภาวนาให้ฉัน เมื่อฉันย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เรียกเธอว่า “คูณยายใจร้าย” ฉันรู้สึกเสียใจอยู่เสมอจนน้ำตาไหล
แม้ว่าครอบครัวของฉันจะเข้มงวดกับการศึกษา แต่พวกเขามักจะพาฉันไปพักผ่อนอยู่เสมอ ฟุกุโอกะ โอซาก้า โตเกียว บางครั้งก็ต่างประเทศ เราไปหลายที่มาก แต่ก็จะมีแพลนไปดูละครเวทีอยู่เสมอ ในช่วงวันหยุด ก่อนและหลังไปโรงเรียนประถม แม่ของฉันชอบละครเวทีมาก ฉันสนใจมันหลังจากได้ดูละครเวทีแรกของฉัน ฉันได้ดูเรื่อง Mamamia! ของโรงละครชิกิ ฉันไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่ามีคนแบบเราที่สามารถร้องเพลง เต้นรำ ได้อย่างน่าประทับใจพร้อมกับเรื่องราวที่สุดซึ้ง คุณแม่ของฉันคิดว่ามันน่าจะสามารถเปลี่ยนนิสัยขี้อายของฉันได้ไม่มากก็น้อย เธอเลยส่งฉันไปเรียนคลาสละครเวที ตอนนั้นฉันอยู่ ป. 2 ค่ะ
เราต้องเรียนร้องเพลง เต้น และ การแสดงในคลาสละครเวที แม้ว่ามันจะมีความสุขที่ได้ซ้อมกับทุกคน แต่ฉันมีความสุขที่สุดที่จะได้เป็น “ฉันที่แตกต่าง” เมื่อนึกถึงในตอนนี้ ฉันไม่ชอบตัวเองในตอนนั้นเลย ฉันไม่สามารถมีเพื่อนที่ดีได้เลยในโรงเรียน ฉันไปกับเพื่อนผู้หญิงหลายคน พยายามทำให้พวกเขาพอใจ ปิดกลั้นตัวเองที่โรงเรียน แต่ฉันสามารถร้องเพลงและแสดงสิ่งที่อยู่ในใจในละครเวที เป็นความสุขที่มากกว่าทุกสิ่ง
ในช่วงป.4 ฉันได้รับเลือกให้เป็นตัวหลักในคลาสแสดงความสามารถ จากผู้ใหญ่สู่เด็ก มันเป็นการแสดงกว่า 10 คน แต่การฝึกกับคุณครูในครั้งนี้ยากมาก...คุณครูเป็นคนที่เข้มงวดมากมาจากโรงละครทากะระสึกะ เรามีเรียนแบบตัวต่อตัวเกือบทุกวัน ซึ่งฉันไม่เต็มใจที่จะไปและไม่เต็มใจที่จะฝึกฝน ซึ่งฉันถูกดุหนักมากในชั้นเรียน และสุดท้ายตัวฉันเองก็เต็มไปด้วยความรู้สึกว่า “อยากหนีไปจากที่นี่”
ในวันนั้นฉันไม่ได้ไปที่บ้านหลังจากเลิกเรียน ฉันหนีไปด้วยตัวเอง ฉันคิดที่จะไปที่บ้านของคุณยายที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่แสนสุข ซึ่งใช้เวลาในการเดินทาง 30 นาที เมื่อฉันจำทางได้ ฉันก็เดินทางไปคนเดียวอย่างเงียบๆ ไปยังบ้านของคุณย่าย แต่ตอนนั้นท้องฟ้าก็มืดลงในเวลาเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไปสักพักท้องฟ้าก็มืดสนิท ฉันไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้อีก
หลังจากนั้นฉันก็เริ่มร้องไห้ คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นก็เจอฉัน หลังจากนั้นฉันก็บอกหมายเลขโทรศัพท์ของคุณแม่ ตำรวจก็มารับฉันทันทีและไปส่งฉันกลับบ้านไปหาพ่อแม่ที่รออยู่ ฉันกลัวและคิดว่า “ฉันโดนดุแน่!” แต่คุณพ่อคุณแม่ของฉันแค่พูดว่า “สำคัญที่สุดคือหนูไม่เป็นไร” ฉันตั้งใจเข้าเรียนหลังจากนั้นและยืนอยู่บนเวทีในฐานะตัวหลัก ฉันคิดว่ามันเป็นเพราะฉันรักละครเวทีมาที่สุด ฉันเดินทางไปฟุกุโอกะและโตเกียวในช่วงเวลานั้น และสัมภาษณ์งานหลายๆอย่าง แม้ว่าฉันจะสามารถผ่านไปจนถึงการประเมินครั้งสุดท้าย ฉันก็มักพลาดการถูกเลือกเสมอ ทำไมฉันดีไม่พอหรอ ฉันคิดแบบนี้บ่อยมาก และหลังจากนั้นฉันก็ได้ข้อสรุปว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะยอมรับมันในแง่ดี” ฉันใช้ความรู้สึกฝืนใจที่ต้องยอมรับนี้เป็นแรงผลักดันและเดินหน้าต่อไปเพื่อการคัดเลือกครั้งต่อไป ฉันคิดว่าประสบการณ์นั้น เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งแรกของฉันในสังคม
และในที่สุดละครเวทีที่ฉันเพ่งเล็งไว้ในตอนนั้น เป็นของโรงละครชิกิ เรื่อง “Lion king” และเป็นตัวละครสำคัญคือวัยเด็กของนาลา ในฐานะผู้ชมขณะที่มองไปบนเวทีที่เต็มไปด้วยความสุขและความอู้ฟู่ ข้างหลังนั้นยิ่งใหญ่มากๆ รวมไปถึงท่อนร้องของเรา เราใช้เฉพาะการออกเสียงสระเพื่อควบคุมระดับเสียง ฉันได้รับการฝึกฝนที่ดีจากโรงละครชิกิ แม้เป็นนักแสดงเด็ก แต่ที่นี่ถ้าคุณยืนอยู่บนเวทีคุณต้องมีการแสดงระดับเดียวกันกับผู้ใหญ่
เราเข้มงวดกับประโยคที่ว่า “ถ้าคุณคุ้นชินกับมัน โปรดออกไป” การแสดงแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นซ้อมหรือการแสดงบนเวที สำหรับเรามันเป็นแค่หนึ่งในร้อยครั้ง แต่สำหรับผู้ชมอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขา นักแสดงจะต้องมีทัศนคติที่สดใสอยู่เสมอราวกับว่ามันเป็นครั้งแรกของเราบนเวที ด้วยคำพูดที่ว่า คนที่ ‘คุ้นชิน’ กับเวที ควร ‘ออกไป’ แท้จริงแล้ว ถ้าคุณทำได้ไม่ดี มันมีความเป็นไปได้การแสดงก็จะดรอปลงตัว นี่คือโลกของความเป็นมืออาชีพ ในรูปแบบของโรงละครชิกิ
(PS. ขออธิบายเพิ่มเติมว่าประโยค “ถ้าคุณคุ้นชินกับมัน โปรดออกไป” เป็นการสื่อถึงการไม่ให้นักแสดงคุ้นชินกับการแสดงจนเกิดการเพิกเฉย เพราะทำจนชิน พอชินก็จะขาดความตั้งใจในการแสดงอะไรแบบนี้ค่ะ” )
หลังจากเป็นไอดอลฉันก็ยังถูกแฟน ๆ พูดว่า "ฉันเป็นมืออาชีพมาก" หรือถูกเรียกว่า "Miyawaki Pro" การกระทำของฉันในฐานะไอดอลและการเซอร์วิสแฟนที่ยอดเยี่ยมของฉัน หรือทำในสิ่งที่ไม่รู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่บริสุทธิ์ (คนแปลภาษาอังกฤษก็ไม่แน่ใจกับคำนี้) ฉันคิดว่ามันเป็นความหมายแบบนี้นะ .. ส่วนตัวฉันแล้วฉันชอบที่ถูกเรียกว่าโปร เพราะเมื่อฉันรู้สึกเหนื่อยหรือมีสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ในเวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ผู้ชมมีความสุขนี่คือความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง สิ่งที่ฉันเรียนรู้จากโรงละครชิกิแม้ตอนนี้ฉันจะเป็นไอดอลก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันเหมือนกันค่ะ
CHINESE TRANS : @antwzl
English Trans : @IAmOnlyWhoIAm
Thai Trans : 39Cherly
**EDIT
แก้ไขคำว่า 'ยัยแก่' เป็นคำว่า 'คุณยายใจร้าย' นะคะ เพราะมีคนให้ข้อมูลมาว่า ในฟตบ.เขียนคำว่า 鬼ババ
鬼 oni แปลว่า ยักษ์ ปีศาจ ใจร้าย ดุ
ババ baba แปลว่า คนแก่ หรือ ก็คือคุณยายนั่นเอง
แต่ใน Eng trans แปลว่า Old Woman ซึ่งก็เป็นคำที่ความหมายต่างจากภาษาญี่ปุ่นพอสมควร เลยขอปรับเปลี่ยนตามภาษาญี่ปุ่นเลยนะคะ
[หากแปลผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ]